ความแห้งและการสูญเสียน้ำ
ไม่ว่าคุณจะมีผิวแบบไหนก็ตาม ปัจจัยจำเพาะบางอย่างก็อาจกระตุ้นหรือนำไปสู่อาการแพ้ได้: ผิวของคุณอาจตอบสนองอย่างรุนแรงโดยที่คุณอาจคิดว่ามันคงไม่เกิดขึ้นก็ตาม…

ผิวที่สูญเสียน้ำคืออะไร ?
ไม่ว่าคุณจะมีผิวแห้งตามธรรมชาติ ผิวผสม ผิวธรรมดา หรือผิวมัน ผิวของคุณก็อาจสูญเสียน้ำจากสิ่งแวดล้อมได้
ชนิดของผิว
ผิวบางชนิดโดยธรรมชาติอาจถูกทำให้อิ่มน้ำได้ง่าย หรือเกิดความแห้งผากได้น้อยกว่าผิวอีกชนิด ซึ่งผิวที่แห้งไม่ว่าจะเป็นแบบแห้งคันระดับหนึ่ง (Xerosis) หรือ แบบแห้งคันจากอาการผื่นภูมิแพ้ร่วมด้วย (Xeroses from atopic dermatitis) หรือชนิดสุดท้ายแบบที่ผิวแห้งหลุดเป็นเกล็ด (Ichthyosis) ย่อมจะประกอบด้วยน้ำซึ่งน้อยกว่าผิวปกติทั่วไป นอกจากนี้ ความแห้งเป็นผลมาจากความผิดปกติของเมตาบอลิซึมของไขมัน (เซราไมด์) หรือโปรตีน(โปรติเอส และ ฟิแลกกริน) หรือแม้แต่ปัญหาในการเปลี่ยนรูปของเซลล์ไปเป็นเนื้อเยื่อของชั้นผิว (Epidermal differentiation)
ผิวแห้งที่เป็น “ปกติ”:
ผิวแห้งคันระยะแรกสามารถพบได้บ่อยที่สุด และแก้ไขได้ง่ายด้วยครีมที่มีส่วนผสมของสารปลอบประโลมผิว (Emollients)
ผิวแห้งคันในผู้สูงอายุ (Senile xerosis): พบได้บ่อยตามแขนและขา
ผิวแห้งคันจากการเหนี่ยวนำ(Induced xerosis) จากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดซึ่งมีสารลดแรงตึงผิวชนิดแรงซึ่งพบได้ในสบู่ ในขณะเดียวกัน การรักษาซึ่งอาจทำให้เกิดอาการระคายเคือง (จาก เรตินอยด์ กรดผลไม้) สามารถทำให้ผิวแห้งได้เช่นกัน
ปัญหาผิวแห้ง:
อาการแห้งคันภูมิแพ้ (Atopic xerosis) : อาการผิวหนังอักเสบแห้งคัน หรือผื่นคันที่พบในทารก รวมถึงอาการที่ผิวแห้งซึ่งอาจเป็นมากหรือน้อยก็ได้ ชนิดของความแห้งอาจสัมพันธ์กับความผิดปกติของโครงสร้างของผิวชั้นนอก จึงทำให้สารก่อภูมิแพ้สามารถเข้าไปสู่ผิวภายในได้ง่าย รวมทั้งยังอาจทำให้เกิดการสูญเสียน้ำผ่านผิวชั้นนอกได้อีกด้วย
การขาดสารอาหารชนิดรุนแรงบางประเภทสามารถกระตุ้นหรือทำให้อาการผิวแห้งแย่ลง
รวมไปถึงโรคทั่วไปบางโรคก็สามารถส่งผลให้ผิวแห้งได้เช่นกัน
ผิวหนังที่แห้งและหลุดเป็นเกล็ด(Ichthyoses): เป็นโรคทางพันธุกรรมที่พบไม่บ่อย หรืออาจเป็นขึ้นภายหลัง ซึ่งมีผลที่รุนแรงต่างๆกันไป